ที่เที่ยวแม่ริม แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

อำเภอแม่ริม เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ 443.6 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วย 11 ตำบล มีประชากรประมาณ 88,835 คน มีความหนาแน่นของประชากร 200.05 คนต่อตารางกิโลเมตร ทิศเหนือติดกับอำเภอแม่แตง ทิศตะวันออกติดกับอำเภอสันทราย ทิศใต้ติดกับอำเภอเมืองเชียงใหม่และอำเภอหางดง ส่วนทิศตะวันตกติดกับอำเภอสะเมิง

อำเภอแม่ริม เป็นอำเภอขนาดใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเพราะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน จึงเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการที่สำคัญ ๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งอำเภอแม่ริมเป็นอำเภอที่มีการขยายตัวของชุมชนเมืองที่รองรับความเจริญเติบโตของนครเชียงใหม่ เพื่อขยายไปยังศูนย์กลางความเจริญทางตอนเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นทางผ่านเพื่อไปยังอำเภอปาย ทำให้อำเภอแม่ริมมีสภาพเศรษฐกิจดี มีการคมนาคมที่คับคั่งรองจากอำเภอหางดง และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ใกล้เมืองเชียงใหม่มากที่สุด

อำเภอแม่ริมมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย จึงเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้มาเยี่ยมเยือน ทำให้มีการขยายตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ทั้งโรงแรม รีสอร์ต และที่พักที่ถือว่ามากที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่

แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมมาเยี่ยมชม

ฟาร์มงูแม่สา


ฟาร์มงูแม่สา ตั้งอยู่ที่เส้นทางสายแม่ริม - สะเมิง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นฟาร์มงูที่ใหญ่ที่สุดของภาคเหนือ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ทั้งความสนุกสนาน อีกทั้งยังให้ความรู้ ซึ่งมีงูหลากหลายพันธุ์ จากหลาย ๆ ภูมิภาคของประเทศ มีทั้งชนิดที่มีพิษและไม่มีพิษ ซึ่งบางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์ รวมไว้ให้ได้ศึกษา


ฟาร์มงูแม่สา เปิดบริการให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน มีการแสดงเป็นรอบ แต่ละรอบใช้เวลาแสดงประมาณ 30 นาที มีค่าผ่านประตูสำหรับ เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-5386-0719 หรือ เว็บไซต์ www.maerimtourist.com 

------------------------------------------------

พิพิธภัณฑ์บ้านคำอูน

พิพิธภัณฑ์บ้านคำอูน ตั้งอยู่ประมาณกิโลเมตรที่ 4 ริมถนนด้านขวามือ อยู่ตรงข้ามกับฟาร์มงูแม่สา เป็นแหล่งรวมของศิลปวัตถุโบราณและหายาก ตั้งแต่ยุคบ้านเชียงจนถึงยุคปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์บ้านคำอูนเป็นพิพิธภัณฑ์เอกชน ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2539 โดยคุณวิสุตา สาณะเสน ผู้ได้จัดตั้งศูนย์ศิลปะและประสบความสำเร็จอย่างงดงามมาแล้วหลายแห่ง


ตัวพิพิธภัณฑ์มีลักษณะเป็นอาคารไม้สักสีทองสวยสะดุดตา ประกอบไปด้วยอาคาร 2 หลังเป็นเอกเทศ ด้านหลังเชื่อมต่อกันด้วยชานเรือน หลังเดิมเคยเป็นพิพิธภัณฑ์แม่สามาก่อน บริเวณโดยรอบแวดล้อมด้วยพันธุ์พฤกษาและกล้วยไม้ป่านานาพันธุ์สวยงามร่มรื่น หลังที่หนึ่งเป็นบ้านทรงไทยแบบล้านนา จัดแสดงโบราณวัตถุหายาก เช่น เครื่องเรือนที่สวยงาม ภาพเขียน งานเครื่องเขิน เครื่องเงิน ไม้แกะสลักพระพุทธรูป มีห้องจีนที่มีเตียงโบราณสมัยราชวงศ์ชิงที่งดงามวิจิตรยิ่ง นอกจากนั้นยังมีผ้าไหมนับพันชิ้นให้ได้ชม

ส่วนอีกหลังสร้างเป็นทรงไทยภาคกลาง จัดเป็นห้องโถงแสดงวัตถุโบราณเช่นกัน แต่สามารถเลือกซื้อสะสมได้ และยังจำหน่ายขายของที่ระลึกให้แก่ผู้มาเยี่ยมชม นอกจากนี้ยังมีส่วนจัดแสดงภาชนะเครื่องปั้นดินเผายุคบ้านเชียง ตู้โบราณ ตั่งแว่น (โต๊ะเครื่องแป้ง) ชมเตียงไม้แบบโบราณ และรายล้อมด้วยสวนไม้ไทย นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงของศิลปวัตถุโบราณที่มีบรรยากาศร่มรื่น น่าพักผ่อน เหมาะแก่การศึกษาหาความรู้ในวันหยุดพักผ่อน เพราะบริเวณบ้านมีสวนไม้ไทยและศาลาพักพร้อมน้ำผลไม้และเครื่องดื่มบริการผู้ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วย ผู้เข้าชมส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ต้องการมาชมของโบราณของภูมิภาค

พิพิธภัณฑ์ บ้านคำอูน อยู่ระหว่างกิโลเมตร 3 และ 4 ถนนแม่ริม-สะเมิง ต.แม่แรม อ.แม่ริม เป็นพิพิธภัณฑ์ของเอกชนจึงเปิดบริการให้ชมทุกวัน เวลา 09.00-16.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-5329-8068 ค่าเข้าชม เด็ก 30 บาท ผู้ใหญ่ 100 บาท

------------------------------------------------

ปางช้างแม่สา


ปางช้างแม่สา ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากนัก ใช้เวลาขับรถจากตัวเมืองมาถึงปางช้างภายในเวลาประมาณ 20 นาที โดยคุณสามารถสัมผัสได้กับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของสองข้างทางไปจนถึงปาง ช้างแม่สา จากประสบการณ์ที่มากกว่า 30 ปี และจำนวนช้างที่มีกว่า 70 เชือกที่อยู่ภายใต้การเลี้ยงดูอย่างดี เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าปางช้างกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำและเชี่ยวชาญในด้าน การดูแลช้าง การสืบพันธุ์ช้าง รวมทั้งการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน




หากมองย้อนกลับไปเมื่อช่วงหลายทศวรรษที่แล้ว เราคงจะคุ้นเคยกับภาพของการใช้ช้างในงานอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นส่วนมากในเขต ป่าของพื้นที่ภาคเหนือ แต่เนื่องด้วยการตระหนักถึงคุณค่าในความฉลาดและความสามารถที่มีมากของช้าง แล้ว คุณชูชาติ กัลมาพิจิตร จึงได้ก่อตั้งปางช้างแม่สาขึ้นในพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ที่อยู่ติดกับลำน้ำ แม่สาในเขตหุบเขาแม่สาเมื่อปี พ.ศ. 2519 นับตั้งแต่นั้น คุณชูชาติได้ทำการซื้อช้างจากที่ต่างๆ มาเพื่อทำการฝึกและพัฒนาทักษะต่าง ๆ


โดยมีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความสามารถของช้างเหล่านี้ให้แก่นักท่อง เที่ยวผู้ที่หลงเสน่ห์ในความน่ารักของช้างและหวังว่านักท่องเที่ยวที่มา เยือนจะเกิดความรักและตระหนักในคุณค่าของช้างไทย พร้อมทั้งยังมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความสามารถและความฉลาดของช้างไทยรวม ทั้งส่งเสริมให้บุคคลทั่วไปตระหนักถึงความสามารถของช้างไทย คุณชูชาติยังได้ก่อตั้งโครงการส่งเสริมสืบสานสายพันธุ์ช้างไทยขึ้นเพื่อเป็น การกระตุ้นการเพิ่มจำนวนประชากรช้างไทย และอนุรักษ์ช้างไทย โดยช้างที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงจะถูกคัดเลือกให้ทำการสืบพันธุ์เพื่อให้ กำเนิดสมาชิกใหม่ที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ด้วยการเลี้ยงดูอย่างดีและเชี่ยวชาญนี้ คุณสามารถมั่นใจได้ว่าช้างทุกเชือกที่อยู่ภายใต้การดูแลของเราจะมีสุขภาพกาย และใจที่สมบูรณ์แข็งแรง

------------------------------------------------

สวนกล้วยไม้และฟาร์มผีเสื้อ

สวนกล้วยไม้และฟาร์มผีเสื้อ นักท่องเที่ยวสามารถขับรถไปตามเส้นทางสายแม่ ริม-สะเมิง โดยถนนสายนี้มีฟาร์มกล้วยไม้อยู่หลากหลายที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม ซึ่งบรรดาฟาร์มเหล่านี้ได้รวบรวมพันธุ์กล้วยไม้ที่แปลกและหาดูได้ยากไว้ สิ่งน่าสนใจ พรรณไม้ ภายในสวนเหล่านี้มีทั้งส่วนที่จัดแสดงพรรณไม้นานาชนิดที่ใช้เป็นไม้ประดับ เช่น ดอกบัว ดอกเยอบีรา แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นกล้วยไม้ที่ออกดอกหมุนเวียนให้ชมทุกฤดูกาล แต่ละสวนจะมีกล้วยไม้ที่ได้รับรางวัลจากการประกวดมาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ ชม เช่น ฟ้ามุ่ย ช้างกระ เข็มแสด เข็มแดง ฯลฯ

ตามเส้นทางสายนี้ยังมีสวนผีเสื้อ ซึ่งภายในฟาร์มบางแห่งจะมีเรือนเพาะพันธุ์ผีเสื้อโดยคลุมด้วยมุ้ง จัดตกแต่งด้วยพรรณไม้ และมีการจัดแสดงวงจรชีวิตของผีเสื้อ ตั้งแต่เป็นหนอน ดักแด้ และตัวเต็มวัยที่กำลังออกจากดักแด้ ส่วนตัวเต็มวัยจะมีที่ให้อาหารซึ่งเป็นเกลือแร่หรือน้ำหวานให้ผีเสื้อลงมา ดูดกิน เกาะอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ดูละลานตา นอกจากนี้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อหาของที่ระลึกในรูปแบบต่างๆ ที่มีรูปของกล้วยไม้ เช่น โปสการ์ด เข็มกลัดกล้วยไม้ชุบทอง มีให้เลือกมากมายหลายแบบ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเข้าชมสวนต่างๆ ได้หลากหลาย เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเส้นทางสายนี้


โดยสวนที่มีชื่อเสียงของเส้นทางสายนี้ คือ สายน้ำผึ้งพิพิธภัณฑ์กล้วยไม้ไทย ไปตามถนนสายแม่ริม-สะเมิง 2 กิโลเมตร เป็นสวนกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ มีฟาร์มผีเสื้อ แมวไทย และสัตว์อื่นๆ ให้ชม ที่นี้นอกจากจะเป็นฟาร์มกล้วยไม้แล้ว ยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าประวัติความเป็นมาของกล้วยไม้ไทยและกล้วยไม้ สายพันธุ์ต่างประเทศให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ ค่าเข้าชมเด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท มีบริการอาหาร เครื่องดื่ม เปิดให้เข้าชมเวลา 08.00 - 17.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. +66-5329-8771-2, +66-5329-7152 โทรสาร +66-5329-7892

แม่แรมออร์คิด เปิดให้เข้าชมเวลา 08.00 - 16.00 น. ค่าเข้าชม เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท มีบริการอาหาร เครื่องดื่ม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. +66-5329-8801

สวนบัวแม่สาออร์คิด ค่าเข้าชมคนไทย 20 บาท ต่างชาติ 50 บาท (เด็กครึ่งราคา) เปิดให้เข้าชม 07.30 - 16.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. +66-5329-8564

ใบออร์คิดแอนด์บัตเตอร์ฟลายฟาร์ม เปิดให้เข้าชมเวลา 07.30 - 17.00 น. ค่าเข้าชมเด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท มีบริการอาหาร เครื่องดื่ม (รองรับได้ประมาณ 200 ท่าน) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. +66-5329-9588, +66-5329-9222

------------------------------------------------

น้ำตกแม่สา



น้ำตกแม่สา เป็นน้ำตกที่สวยงาม ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย มีน้ำไหลตลอดปี มีทั้งหมด 10 ชั้นแต่ละชั้นห่างกันประมาณ 100-500 เมตร มีระยะทางรวมเพียง 1 กม. โดยเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปตามถนนสายแม่ริม-สะเมิง ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร น้ำตกแม่สา เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของ จ.เชียงใหม่ โดยชั้นที่สวยที่สุดคือชั้นที่ 5 ถึงชั้นที่ 7 สามารถเล่นน้ำได้แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง เส้นทางการเข้าถึงน้ำตกแม่สามีความสะดวกสบาย ทางเดินระหว่างชั้นน้ำตกเป็นทางที่จัดการไว้อย่างดีและไม่ชันมากในช่วงที่ 5 – 7 นักท่องเที่ยวที่มา สามารถจอดรถ ที่จอดรถที่สามเพื่อเข้าน้ำตกชั้นที่ 4 ได้ทันที น้ำตกแม่สาเป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลตลอดปีโดยช่วงปลายฤดูฝนเป็นช่วงที่มีความสวย งามที่สุด

เรื่องของลำน้ำ “แม่สา” มีเรื่องเล่ากันว่าจากต้นน้ำแม่สาไหลลงมาตามหุบเขาที่ราบ เมื่อไหลผ่านหมู่บ้านต่าง ๆในตำบลแม่ริมและตำบลโป่งแยง เนื่องด้วยลำน้ำที่ใสเย็น ทำให้หญิงสาวชอบลงเล่นน้ำอยู่เป็นนิจ จึงมีคนเรียกลำน้ำนี้ว่า “น้ำแม่สาว” ต่อมาจึงกลายเป็น “น้ำแม่สา” เนื่องด้วยพื้นที่ลำห้วยบริเวณลำห้วยแม่สา มีสภาพเป็นธรรมชาติ จึงได้เริ่มจัดตั้งเป็นวนอุทยานก่อน และได้ถูกดูแลมาจนถึงปัจจุบัน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-5321-0244

------------------------------------------------

สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์

สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบล แม่แรม อำเภอแม่ริม บริเวณชายเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ทางเข้าอยู่ด้านซ้ายมือบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 12 สายแม่ริม-สะเมิง สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2536 มีพื้นที่ประมาณ 6,500 ไร่  สภาพโดยทั่วไปเป็นที่ราบและที่สูงสลับกันเป็นชั้น ๆ ในระดับ 300-970 เมตร จัดทำเป็นสวนพฤกษศาสตร์ระดับนานาชาติ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ



ลักษณะการจัดสวนของที่นี่จะแบ่งพันธุ์ไม้ตามวงศ์และความเหมาะสมของสภาพ พื้นที่ รวบรวมพันธุ์ไม้ทั้งในและต่างประเทศ เดิมมีชื่อว่า "สวนพฤกษศาสตร์แม่สา" เป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่กรมป่าไม้จัดตั้งขึ้นให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์ประจำภาค เหนือของประเทศไทย หลังจากที่ได้มีการสถาปนาองค์การสวนพฤกษศาสตร์ขึ้น สวนพฤกษศาสตร์แม่สาก็ได้รับการโอนย้ายมาสังกัด องค์กรสวนพฤกษศาสตร์ และได้รับการวางแผนและพัฒนาให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์ระดับสากลแห่งแรกของประเทศ มีการบริหารจัดการตามมาตรฐานสากล โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรพืช ศึกษาวิจัย และเผยแพร่ความรู้ทางด้านพฤกษศาสตร์


ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 องค์การสวนพฤกษศาสตร์ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้ใช้ชื่อสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ว่า "สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์" เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ และสามารถขับรถเที่ยวชมได้ จุดที่แวะชมได้ คือ  ศูนย์สารนิเทศเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการพรรณไม้ไทย นิทรรศการด้านพฤกษศาสตร์และมีหนังสือเกี่ยวกับพรรณไม้ที่สวนพฤกษศาสตร์จัดทำ ขึ้นจำหน่ายอีกด้วย


กลุ่มอาคารเรือนกระจก อาคารเรือนกระจกขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนลานเนินเขาที่สวยงาม ภายในอาคารใหญ่รวบรวมพรรณไม้ใน เขตป่าดงดิบ จากทุกภูมิภาคของทวีปเอเชีย ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการควบคุมระดับความชื้นสัมพัทธ์ โดยการฉีดละอองน้ำใน เรือนกระจก รวมทั้งมีน้ำตกจำลองด้วย จัดแต่งสภาพเหมือนกับเข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ นอกจากนี้อาคารเรือนกระจกอื่นๆ ก็มีพรรณไม้ ที่น่าสนใจ เช่น พืชทะเลทราย พรรณไม้น้ำ เฟิน กล้วยไม้ เป็นต้น


เรือน กล้วยไม้ไทยในเรือนนี้ได้รวบรวมพันธุ์กล้วยไม้กว่า 350 ชนิด ซึ่งเป็นกล้วยไม้ป่าที่มีสีสันสวยงาม หลายชนิดมีกลิ่นหอม ส่วนใหญ่จะทยอยออกดอกตลอดปี โดยรวบรวมมาจากป่าดงดิบ ป่าเต็งรัง ซึ่งบางพันธุ์หาดูได้ยากและบางชนิดใกล้สูญพันธุ์ และยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่จัดไว้ 4 เส้น คือ

1. เส้นทางน้ำตกแม่สาน้อย-สวนหิน-เรือนรวมพันธุ์กล้วยไม้ไทย (Waterfall Trail) ระยะทาง 300 เมตร

2. เส้นทางสวนรุกชาติ (Arboretum Trail) ระยะทาง 600 เมตร

3. เส้นทางวลัยชาติ (Climber Trail) ระยะทาง 2 กม.

4. เส้นทางพันธุ์ไม้ประจำจังหวัด ระยะทาง 800 เมตร

เปิด ให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8.30 – 17.00 น. ค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท มีรถบริการนำชมภายในสวน ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 10 บาท ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อที่ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ 50180 โทร. +66-5384-1234 โทรสาร +66-5329-8177, +66-5329-9754 อีเมล์ bgo@qsbg.org เว็บไซต์ www.qsbg.org

------------------------------------------------

วัดป่าดาราภิรมย์

วัดป่าดาราภิรมย์ ตั้งอยู่ที่ตำบลริมใต้ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ด้านหน้าวัดมีคลองชลประทานแม่แตงไหลผ่าน ตั้งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอแม่ริม และค่ายดารารัศมี ประมาณ ๑.๐๐ กิโลเมตร ตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ ๑๐.๐๐ กิโลเมตร มีเนื้อที่อาณาเขตของวัด ๒๖ ไร่ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการตั้งเป็นวัด ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๑ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๒ เนื้อที่กว้าง ๑๗.๐๐ เมตร ยาว ๓๐.๐๐ เมตร และได้ประกอบพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๓

ได้รับพระบรมราชานุญาต ให้ยกเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ อันเป็นปีเฉลิมฉลองพระชนมายุครบ ๖ รอบ แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

 
ปฐมเหตุ
ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๑ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาถระ พระกรรมฐานนักปฏิบัติธรรมผู้ยึดมั่นในการถือธุดงควัตร มักน้อย สันโดษ เจริญรอยตามปฏิปทาของพระมหากัสสปเถรเจ้า ผู้เอตทัตคะทางธุดงควัตร ได้รับอาราธนาจากพระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปจาจารย์ ( จันทร์ สิริจันโท ) ให้มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงใหม่ โดยเริ่มแรกที่วัดเจดีย์หลวง ซึ่งในขณะนั้นยังไม่พลุกพล่านด้วยผู้คน บรรยากาศภายในวัดเงียบสงบ พอออกพรรษาท่านก็ออกจาริกธุดงค์ ไปแสวงหาความสงบสงัด ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๓ ได้จาริกมาทางอำเภอแม่ริม ได้พักอยู่ที่ป่าช้าร้างบ้านต้นกอก ซึ่งในขณะนั้นเต็มไปด้วยป่าไม้สักและไม้เบญพรรณ อยู่ติดกับบริเวณสวนเจ้าสบาย ตำหนักดาราภิรมย์ ของพระราชายาเจ้าดารารัศมี ในรัชกาลที่ ๕ ที่ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔ ในขณะนั้นบริเวณวัดเป็นป่าไม้เบญพรรณ (ป่าแพะ ) อยู่เขตชายป่าเทือกเขาดอยสุเทพ และดอยม่อนคว่ำหล้อง (ในตำนานของขุนหลวงวิรังคะ) ยังไม่พลุกพล่านด้วยบ้านผู้คน เป็นสถานที่เงียบสงบสงัด วิเวก ร่ำลือกันว่าเป็นสถานที่ผีดุ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อยู่พักชั่วระยะหนึ่ง แสวงจาริกไปที่พระธาตุจอมแตง เพื่อจำพรรษา ๑ พรรษา ไปห้วยน้ำริน ป่าช้าบ้านเด่น บ้านปง ( วัดอรัญญวิเวก ) เชียงดาว และพร้าว ต่อไป

จากสถานที่ป่าช้าร้างที่พระอาจารย์มั่น ผู้บำเพ็ญเผาผลาญกิเลสจนบรรถุถึงอริยมรรคอริยผล ได้มาเจริญสมณธรรม อธิษฐานจิตภาวนา ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการก่อสร้างขึ้นเป็นเสนาสนะป่าขึ้น ด้วยกุฏิศาลา แบบชั่วคราว และมีพระธุดงค์กรรมฐานผู้เป็นศิษย์แห่งพระอาจารย์มั่นมาอยู่จาริกอาศัยบำเพ็ญสมณธรรมตามวิถีแห่งธุดงคกรรมฐาน เป็นการชั่วคาวบ้าง ถาวรบ้าง จึงกล่าวได้ว่าจุดเริ่มต้นของสถานที่แห่งนี้เกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๓ โดยท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีพระธุดงคกรรมฐานมาอยู่ปฏิบัติที่ป่าช้าแห่งนี้เป็นครั้งคราว


ในพุทธศักราช พ.ศ.๒๔๘๑ โดยคณะพุทธบริษัทกลุ่มหนึ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาของพระธุดงค์กรรมฐานสายอาจารย์มั่น ภูริทตตมหาเถร ที่จาริกมาประพฤติปฏิบัติ จึงพร้อมใจกันสร้างเสนาสนะ มีกุฏิ และศาลา ถวายแก่พระกรรมฐานเหล่านั้น โดยได้ตั้งชื่อวัดว่า “วัดป่าวิเวกจิตตาราม” บางหมู่ก็เรียกว่า “วัดป่าเรไร” บางหมู่ก็เรียกว่า “วัดป่าแม่ริม” โดยมีพระอ่อนตา อคคธมโม เป็นประธานสงฆ์อยู่ โดยมีนายแก้ว รัตนนิคม, นายศรีนวล ปัณฑานนท์ เป็นหัวหน้า สถานที่ตั้งแห่งนี้เป็นป่าช้าติดกับตำหนักดาราภิรมย์ สวนเจ้าสบาย ของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๒

ปี พ.ศ.๒๔๘๔ ทายาทของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี มีเจ้าหญิงลดาคำ ณ เชียงใหม่ เป็นหัวหน้าได้น้อมถวายที่ดินอันเป็นเขตพระราชฐานที่ตั้งของตำหนักดารารัศมี สวนเจ้าสบาย ของพระราชชายาฯให้แก่วัด เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี จำนวน ๖ ไร่ ทางราชการมีนายสว่าง พรหมปฏิมา นายอำเภอแม่ริม พร้อมทั้งทายาทของพระราชชายา และศรัทธาสาธุชน จึงพร้อมใจกันถวายนามให้แก่วัดใหม่ว่า “วัดป่าดาราภิรมย์” ทั้งนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่พระกรรมฐาน และถวายพระราชกุศลแก่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ผู้มีคุณูปการต่อเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ 

------------------------------------------------

พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมณ์ เชียงใหม่

พระตำหนักดาราภิรมย์ สร้างขึ้นหลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงย้ายกลับมาประทับที่เชียงใหม่ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เจ้าดารารัศมีทรงใช้พระตำหนักหลังนี้ปฏิบัติพระกรณียกิจอันเป็นคุณูปการทั้งทางด้านเกษตร และศิลปะวัฒนธรรม อาทิ ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงฟื้นฟูศิลปหัตถกรรมล้านนาให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวเหนือ ทรงสร้างสวนทดลองการเกษตรชื่อ "สวนเจ้าสบาย" เนื่องจากทรงสนพระทัยในการเกษตร และทรงหวังที่จะช่วยการกสิกรรมของภาคเหนือ ทรงทดลองปลูกดอกกุหลาบพันธุ์ใหม่ๆ ที่ทรงได้จากสมาคมกุหลาบแห่งอังกฤษ ที่ทรงเป็นสมาชิก และพันธุ์ที่โปรดที่สุดเป็นกุหลาบดอกใหญ่สีชมพู กลิ่นหอมเย็น จึงทรงตั้งชื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบรมราชสวามีว่า "จุฬาลงกรณ์" และก่อนสิ้นพระชนม์ เจ้าดารารัศมีได้ทรงทำพินัยกรรมประทานที่ดินนี้เป็นมรดกแก่ทายาท ต่อมาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ซื้อที่ดินต่อจากทายาท โดยมีการมอบโอนกรรมสิทธิ์อย่างถูกต้องในเวลาต่อมา เจ้าดารารัศมีเป็นเจ้าจอมที่เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมากองค์หนึ่ง เพราะนอกจากเจ้าดารารัศมีมีพระอัธยาศัยอันงดงามแล้ว ยังทรงเป็นผู้เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระบรมราชวงศ์จักรีกับดินแดนล้านนา ซึ่งทำให้สถานการณ์ทางการเมืองแปรเปลี่ยนไปในทางที่ดี ยังประโยชน์แก่อาณาจักรสยามเป็นอย่างยิ่ง

พระตำหนักดาราภิรมย์ในพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นมรดกล้ำค่าของแผ่นดิน ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับเกียรติเป็นผู้สืบทอดและพิทักษ์รักษา ด้วยตระหนักในภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้เอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงเห็นสมควรที่จะต้องบูรณะพระตำหนักดาราภิรมย์ ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์งดงามใกล้เคียงกับสภาพเดิมเมื่อกาลก่อน เพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ระหว่างบรรพชนในอดีต กับอนุชนรุ่นหลัง เพื่อให้ได้ทราบถึงพระปรีชาสามารถ และพระกรุณาธิคุณของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ขัตติยนารีผู้ทรงอุทิศพระองค์ตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อความวัฒนาสถาพรแห่งดินแดนล้านนา นอกจากนี้พระตำหนักดาราภิรมย์ยังเป็นพระตำหนักที่ประทับสุดท้ายที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงรักและผูกพันอย่างยิ่ง

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเห็นว่า พระตำหนักดาราภิรมย์อยู่ในสภาพทรุดโทรม แต่สภาพอาคารยังมีความมั่นคงแข็งแรง มีรูปแบบอาคารที่ชัดเจน อาจใช้เป็นกรณีศึกษา อาคารที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตกในประเทศไทย การบูรณะใช้แนวทางอนุรักษ์และเตรียมการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2541 ด้วยการรักษาส่วนประกอบของอาคารและรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ อันเกี่ยวเนื่องกับพระราชชายาฯ เพื่อจัดตั้งแสดงและตกแต่งห้องต่างๆ ให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับอดีตมากที่สุด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่ง จากกลุ่มเจ้านายฝ่ายเหนือ พ่อค้า และประชาชนชาวเชียงใหม่ ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันบริจาค และเสาะหาสิ่งของเครื่องใช้ เพื่อจัดตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์

ห้องต่างๆ ในพระตำหนักดาราภิรมย์
ชั้นบน
   1. โถงทางเดิน จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระปฐมวงศ์ พระประวัติ พระตำหนักที่ประทับในพระราชชายาเจ้าดารารัศมีพระตำหนักดาราภิรมย์
   2. ห้องรับแขก จัดแสดงของถวายอันเกี่ยวเนื่องกับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี และเครื่องเรือนร่วมสมัย
   3. ห้องบรรทม จัดแสดงของถวายอันเกี่ยวเนื่องกับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี และเครื่องเรือนร่วมสมัย
   4. ห้องพักผ่อนพระอิริยาบถ จัดแสดงจานชาม เครื่องเสวย ของใช้ส่วนพระองค์ และเครื่องดนตรี
   5. ห้องจัดแสดงพระกรณียกิจ ด้านการศาสนา ด้านการเกษตร และด้านศิลปะศาสตร์
   6. ห้องจัดแสดงชุดเครื่องทรง ผ้าทอที่พระราชชายาฯ ทรงออกแบบลวดลายและส่งเสริมการทอ ชุดการแสดงที่พระราชชายาฯ ได้ทรงฟื้นฟูและทรงดัดแปลงศิลปะภาคกลางให้เข้ากับศิลปะภาคเหนือ
   7. ห้องสรง
  
ชั้นล่าง
จัดแสดงเครื่องมือเกษตร ที่ทรงใช้ในการทดลองการเกษตรแผนใหม่ ในสวนเจ้าสบาย นอกจากนั้นยังมีเครื่องทอผ้า ซึ่งใช้ทอผ้าสำหรับพระราชชายาฯ โดยเฉพาะ

พระประวัติพระราชชายาเจ้าดารารัศมี
เจ้าดารารัศมีประสูติ เมื่อวันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2416 ณ คุ้มหลวงกลางนครเชียงใหม่ เป็นพระธิดาในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ทรงได้รับการศึกษาจากพระชนก-ชนนี ในเรื่องอักษรไทยเหนือและใต้ เช่นเดียวกับกุลบุตรกุลธิดาในสมัยนั้น เมื่อเจ้าดารารัศมีทรงเจริญพระชันษาได้ 13 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าอินทวิชยานนท์จัดพิธีโสกันต์ พร้อมกับพระราชทานเครื่องโสกันต์ระดับเจ้าฟ้า ให้เจ้าดารารัศมีทรงใช้ในพิธีอีกด้วย เมื่อเจ้าดารารัศมีได้ตามเสด็จพระบิดา ซึ่งเสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีลงสรง และเฉลิมพระนามสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าดารารัศมีถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายใน ในฐานะเจ้าจอม เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 เจ้าดารารัศมีมีพระราชธิดาพระนามว่า พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสี แต่ทรงเจริญพระชันษาเพียง 3 ปีเศษก็ประชวรสิ้นพระชนม์ เมื่อพระเจ้าอินทวิชยานนท์พระบิดาถึงแก่พิราลัย เจ้าดารารัศมีจึงทรงกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสด็จขึ้นไปเยี่ยมนครเชียงใหม่ เนื่องจากได้เสด็จมาประทับที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง 22 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต อีกทั้งยังทรงโปรดเกล้าฯ จัดงานพระราชพิธีสถาปนาพระอิสริยยศเจ้าดารารัศมี จากเจ้าจอมมารดา ขึ้นเป็นพระราชชายาเจ้าดารารัศมี แต่หลังจากที่พระราชชายาฯ เสด็จกลับเชียงใหม่ได้เพียง 10 เดือนก็ต้องทรงประสบความเศร้าโศกอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเถลิงถวัลราชสมบัติสืบต่อมา พระราชชายาฯ ยังคงประทับ ณ พระตำหนักสวนฝรั่งกังไส พระราชวังดุสิต จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2457 จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสด็จกลับนครเชียงใหม่ พระราชชายาฯ ทรงดำรงพระชนม์อย่างสงบสุข ณ พระตำหนักดาราภิรมย์อยู่หลายปีจนสิ้นพระชนม์ด้วยโรคปัปผาสะพิการ (โรคปอด) เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ณ คุ้มรินแก้ว รวมสิริพระชันษาได้ 60 ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระศพเป็นงานพิธีหลวง พระอัฐิส่วนหนึ่งบรรจุไว้ที่พระกู่ วัดสวนดอกจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง อีกส่วนหนึ่งอัญเชิญไปบรรจุไว้ ณ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

วัน – เวลา เปิดพิพิธภัณฑ์
วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 9.00 – 17.00 น. (วันจันทร์หยุดทำการ)

อัตราเข้าชมพิพิธภัณฑ์
ผู้ใหญ่ 20 บาท, เด็ก 10 บาท, พระสงฆ์/นักเรียนในเครื่องแบบฟรี

พิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ (ในบริเวณค่ายดารารัศมี) โทร. 053 299 175

(แหล่งข้อมูล: เอกสารพิพิธภัณฑ์พระตำหนักดาราภิรมย์)

 
------------------------------------------------
น้ำตกตาดหมอก


แหล่งท่องเที่ยว อ.แม่ริม

เป็นน้ำตกขนาดกลาง แทรกตัวอยู่กลางป่าเบญจพรรณอันร่มรื่น อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ-ปุย เป็นต้นลำน้ำแม่แรม น้ำตกจากหน้าผาสูง 20 เมตร เป็นฟุ้งละอองสีขาว ราวกับสายหมอก  จะมีน้ำน้อยในฤดูแล้ง

สถานที่ท่องเที่ยว แม่ริม

การเดินทาง 
ใช้ทางหลวงแม่ริม-สะเมิง เลี้ยวขวาที่ กม.5 เข้าไปประมาณ 9 กม. เป็นถนนลาดยางอย่างดี จากที่จอดรถ แล้วเดินเท้าเข้าไปประมาณ 250 เมตร 

------------------------------------------------

พิพิธภัณฑ์ชาวเขา

พิพิธภัณฑ์ชาวเขา ตั้งอยู่ในบริเวณสวนล้านนา ร.9 ถนนโชตนา ริมถนนสายเชียงใหม่ - แม่ริม อยู่ในความดูแลของสถาบันวิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม

แหล่งท่องเที่ยวอำเภอแม่ริม
เป็นพิพิธภัณฑ์เฉพาะทางด้านชาติพันธุ์วิทยา จัดเก็บรวบรวมวัตถุพยานหลักฐานวัฒนธรรมของชนเผ่าบนที่สูง หรือ "ชาวเขา" ประกอบด้วยกลุ่มชน จำนวน 9 กลุ่ม คือ กระเหรี่ยง แม้ว เย้า ลีซอ อีก้อ มูเซอ ลัวะ ถิ่น ขมุ และกลุ่มชนเล็กที่สุดอีกกลุ่มหนึ่งคือ มลาบรี หรือผีตองเหลือง มีลักษณะวัฒนธรรมของตนเองที่แตกต่างกันไป จัดเป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมชาวเขาที่เป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าสำหรับผู้สนใจทั่วไป 

พิพิธภัณฑ์ชาวเขา เปิดทุกวัน เวลา 09:00 - 16:00 น. ข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 5321 0872, 0 5322 1933

------------------------------------------------
ตำนานวัดพระพุทธบาทสี่รอย

โดยเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสี่รอย

“วัดพระพุทธบาทสี่รอย” อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นวัดที่มีปูชนียสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากเป็นสถานที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ ที่ล่วงเลยมาในภัทรกัปป์นี้

สถานที่ท่องเที่ยว อ.แม่ริม
ตามประวัติโดยย่อ รอยพระพุทธบาทสี่รอยนี้ประทับอยู่ในก้อนหินก้อนใหญ่ ซึ่งเรียกว่า หินศิลาเปรต ต่อมามีพระพุทธเจ้ากกุสันธะ เสด็จมาโปรดมหาศิลาเปรต ทรงเมตตาประทับรอยพระพุทธบาทเหนือหินมหาศิลาเปรตเป็นรอยแรก ยาว 12 ศอก จากนั้นก็มีพระพุทธเจ้าโกนาคมน์ มาโปรดอีก และได้ประทับรอยเป็นรอยที่สอง ยาว 9 ศอก รอยที่สาม คือ รอยของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ยาว 7 ศอก และรอยสุดท้าย รอยที่สี่ คือ รอยของพระพุทธเจ้าโคตมะ ยาว 4 ศอก ตามตำนานเชื่อกันว่าเมื่อถึงยุคของพระศรีอริยะเมตไตรย์ ท่านก็จะเสด็จมาประทับรอยพระบาทซ้อนทับรอยพุทธบาททั้ง 4 นี้ รวมเป็นรอยพระพุทธบาทรอยใหญ่รอยเดียว

พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ได้รับการสักการบูชาจากเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่มาหลายยุคสมัย และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เสมอมาล่าสุด ครูบาศรีวิชัย ได้มาสร้างวิหารครอบพระพุทธบาทสี่รอยไว้จนถึงปัจจุบัน 

นอกจากนี้ใน ปี พ.ศ.2497 วัดพระพุทธบาทสี่รอยนี้ ยังได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากร มีประวัติเล่าขานถึงความเก่าแก่ จนนับเป็นรอยพระพุทธบาทที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

สถานที่ท่องเที่ยว อ.แม่ริม
การเดินทางมาวัดพระบาทสี่รอย

จากตัวเมืองใช้เส้นทางสายเชียงใหม่ แม่ริม ระหว่างกิโลเมตรที่ 20-21 จะมีป้ายชื่อวัดพระบาทสี่รอยอยู่หน้าซอยฝั่งซ้าย บอกทางไปวัดอีก 31 กิโลเมตร ระหว่างทางเป็นทางลาดชันโค้งขึ้นเขาเกือบตลอดทาง มีป้ายบอกทางอยู่เป็นระยะๆ "วัดพระพุทธบาทสี่รอย" ตั้งอยู่ในหุบเขาป่าลึก เขต ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และจากตัวอำเภอแม่ริม จนถึงวัดพระพุทธบาทสี่รอย มีระยะทาง 50 กิโลเมตร

ที่มา : พระครูพุทธบาทเจติยารักษ์ (พระครูบาพรชัย ปิยะวัณโณ) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทสี่รอย

------------------------------------------------

ร้อยทวารบาล บ้านเทวาลัย

ร้อยทวารบาล บ้านเทวาลัย เป็นตำหนักเทพหอศิลป์จิตรกรรมไทย ที่ก่อตั้งขึ้นโดย นายเข้ม มฤคพิทักษ ซึ่งเกิดที่เรือนไม้โบราณริมน้ำนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม และมีความผูกพันกับไม้มาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นได้สะสมไม้เอาไว้มากมาย ในปี 2541 ได้สร้างบ้านไม้เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย หลังจากปูไม้พื้นเต็มหลังแล้วยังเหลือไม้อีกมาก จึงเลือกไม้แผ่นใหญ่ๆ ประกอบเป็นบานประตูไม้แผ่นเดียวใช้สลักเดือยโบราณ ทำได้ถึง 100 บาน
 

เนื่องจากเป็นผู้มีความลุ่มหลงในงานจิตรกรรมไทยโบราณที่มีอยู่เป็นพื้นฐานจิตใจ บวกกับความงดงามของเนื้อไม้ ที่มีทั้งไม้สักทอง ไม้ตะเคียนทอง ไม้ประดู่แดงและไม้มะค่า ทำให้จิตนาการอยากได้งานศิลปะบนบานประตูไม้ จึงตระเวนไปตามวัดต่างๆ ในภาคกลาง เพื่อเสาะหาภาพเทพทวารบาลที่เป็นงานจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายต่อรัตนโกสินทร์ตอนต้น อายุราว 250-400 ปี จากนั้นได้จ้างศิลปินจำลองภาพเทพทวารบาลที่คัดสรรแล้วไว้บนบานประตูบ้าน

2 ปีให้หลัง ปรากฎว่าองค์เทพประทับอยู่บนบานประตูบ้านหลังนี้เต็มไปหมด จึงตัดสินใจยกบ้านถวายเป็นตำหนักเทพ ความต้องการที่จะเป็นบ้านอยู่อาศัยจึงถูกยกเลิกไป ต่อมาไปได้ที่ดินติดลำห้วยแปลงหนึ่ง ขุดพบไม้ตะเคียนทองท่อนใหญ่มหึมา ขนาดความโตประมาณ 5 คนโอบ ยาว 8.5 เมตร อายุประมาณ 1,200 ปี อยู่ใต้ลำห้วย หลังจากได้ไม้ตะเคียนมาประมาณเดือนครึ่ง บังเกิดความอัศจรรย์เมื่อองค์พระพิฆเณศวรได้มานิมิตในฝันว่าองค์ท่านขอประทับที่ไม้ท่อนนี้ จึงเป็นที่มาของการแกะสลักเป็นองค์พระพิฆเณศวครปางสามเศียรยืน เพื่อเป็นองค์ประธาน ณ ตำหนักเทพแห่งนี้



นอกจากนี้ นายเข้ม มฤคพิทักษ์ มีเจตนารมณ์ที่สร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นหอศิลป์จิตรกรรมไทย เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญา และเป็นตำหนักประทับแห่งทวยเทพ จากบานประตูที่เป็นเทพทวารบาล ซึ่งมีทั้งหมด 100 บาน จึงเป็นที่มาแห่งนามว่า "ร้อยทวารบาล บ้านเทวาลัย" ที่ซึ่งงานศิลปะทุกชิ้นล้วนเป็นงานทำมือ ใช้ช่างฝีมือหลายสกุลช่างกว่า 50 คน และใช้เวลามากกว่า 10 ปี เพื่อหวังที่จะให้ผลงานทั้งหมดนี้เป็นมรดกศิลป์ แผ่นดินสยามไปตราบนานเท่านาน


ร้อยทวารบาล บ้านเทวาลัย ตั้งอยู่บนถนนสุเทพ อ.เมือง ห่างจากหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประมาณ 600 เมตร เปิดให้สักการะและเยี่ยมชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-9433-5380 และ 08-6192-9699

ที่มา: แผ่นพับประชาสัมพันธ์ ร้อยทวารบาล บ้านเทวาลัย

------------------------------------------------



ขอบคุณข้อมูลจาก :
http://th.wikipedia.org/wiki
http://thai.tourismthailand.org
http://darabhirom.hypermart.net
http://www.oceansmile.com/N/Chianmai/Darapirom.htm
http://place.thai-tour.com/chiangmai/maerimsamoeng107/1137

ขอบคุณภาพจาก :
www.naturamaerimresort.com
http://thai.tourismthailand.org
chiangmailanla.wordpress.com
www.7wondersthailand.com
www.biogang.net
http://th.wikipedia.org/wiki
http://travel.edtguide.com
http://pantip.com
http://culture.mome.co/chiangmaitribalmuseum/
http://www.เที่ยวเชียงใหม่.com/topic/65
https://www.facebook.com/ganeshachiangmai/

------------------------------------------------

Contact us